ที่มาภาพ:เพจ Vice President Kamala Harris

กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจเป็นผู้หญิงผิวดำและชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกที่เป็นผู้นำได้รับการเสนอชื่อให้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังการรับรองครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม2567 ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศการตัดสินใจถอนตัวจากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐและเสนอชื่อนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ ให้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยมีคู่แข่งคืออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

“ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งในชีวิตของผมที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของคุณ” ไบเดนเขียนในจดหมายที่โพสต์ในบัญชีอย่างเป็นทางการของเขาบน X “และถึงแม้ผมจะตั้งใจที่จะลงเลือกตั้งใหม่ แต่ผมเชื่อว่าพรรคและประเทศชาติจะได้ประโยชน์สูงสุด หากผมถอยออกมาและมุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีเพียงอย่างเดียวไปตลอดวาระที่เหลืออยู่”

ไบเดนกล่าวว่า เขาจะแถลงรายละเอียดเพิ่มเติมในปลายสัปดาห์นี้

“เพื่อนพรรคเดโมแครตของผม ผมได้ตัดสินใจที่จะไม่รับการเสนอชื่อ และทุ่มความพยายามทั้งหมดของผมไปที่หน้าที่ของผมในฐานะประธานาธิบดีไปจนวาระที่เหลือ การตัดสินใจครั้งแรกของผมในฐานะผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคในปี 2563 คือเลือกกมลา แฮร์ริสเป็นรองประธานาธิบดีของผม และมันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำ วันนี้ผมก็ต้องการที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่และรับรองกมลาเพื่อให้ได้รับการเสนอชื่อ” ไบเดนกล่าว

ถึงกระนั้น แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดี แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าแฮร์ริสจะเป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อหรือไม่ หรือพรรคเดโมแครต จะใช้แนวทางใดในการเลือกทางเลือกอื่น ตอนนี้จะขึ้นอยู่กับผู้ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมระดับชาติของพรรคเพื่อเลือกผู้สมัคร ในขณะที่พันธมิตรของแฮร์ริสพยายามที่จะให้เธอได้รับการเสนอชื่อ แต่พรรคเดโมแครตบางคนก็หยุดการสนับสนุนเธอ หรือเรียกร้องให้มีกระบวนการเสนอชื่ออย่างเปิดเผย

เจมี แฮร์ริสัน ประธานคณะกรรมการระดับประเทศของพรรคเดโมแครตกล่าวในแถลงการณ์ว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พรรคจะ “ดำเนินกระบวนการที่โปร่งใสและเป็นระเบียบเพื่อก้าวไปข้างหน้าในฐานะพรรคเดโมแครตที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีผู้สมัครที่สามารถเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ได้ในเดือนพฤศจิกายน”

ตามหลักแล้ว แฮร์ริสเป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รัยการเสนอชื่อในฐานะรองประธานาธิบดีของไบเดน

ที่มาภาพ:เพจ Vice President Kamala Harris

การรณรงค์หาเสียงของไบเดน-แฮร์ริสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้แก้ไขคำร้องอย่างเป็นทางการต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐบาลกลาง เพื่อเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการหลักเป็น “แฮร์ริสเป็นประธานาธิบดี” Harris for President โดยกล่าวว่าชื่อของคณะกรรมการ “แตกต่างไปจากที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้”

คณะกรรมการยังได้ยื่นจดหมายต่อคณะกรรมเลือกตั้งโดยระบุว่า “ขณะนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในการเลือกตั้งปี 2567 และต่อจากนี้ไปจะดำเนินกิจกรรมรณรงค์เพื่อตำแหน่งนั้นเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม การที่จะได้คุมเงินหาเสียง ซึ่งมีมูลค่ารวม 95.9 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าแฮร์ริสยังคงอยู่ในรายชื่อปี 2567 ของพรรคเดโมแครตหรือไม่

ผลสำรวจล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่าเธอทำงานได้ดีกว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกัน มากกว่าไบเดนและผู้แข่งขันในพรรคเดโมแครตคนอื่นๆ

ตลอดการดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี แฮร์ริสพยายามอย่างมากในการหาคำนิยามให้ตัวเอง ในขณะเดียวกันก็จัดการกับปัญหาต่างๆ ซึ่งรวมถึงประเด็นยากๆ เช่น สิทธิในการลงคะแนนเสียง และการสกัดกั้นกระแสของผู้อพยพที่มาจากอเมริกากลาง ในประเด็นแรก ความพยายามที่จะสนับสนุนพระราชบัญญัติสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนล้มเหลวในสภาคองเกรส ในเรื่องการย้ายถิ่นฐาน แฮร์ริสถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายขวาว่าไม่ได้ใช้เวลามากพอกับเรื่องพรมแดน และจากฝ่ายซ้าย ในเรื่องที่บอกผู้อพยพด้วยคำพูดว่า “อย่ามา”

เมื่อปีที่แล้ว สมาชิกพรรคเดโมแครตบางคนกังวลว่ามุมมองเชิงลบต่อแฮร์ริสอาจส่งผลเสียต่อการชิงประธานาธิบดี ส่งผลให้พรรคเดโมแครตคนสำคัญเรียกร้องให้พรรคหยุดแซะเธอ

แต่ในช่วงหลายสัปดาห์นับตั้งแต่การดีเบตของไบเดนในเดือนมิถุนายน แฮร์ริสกลับเข้ามามีบทบาท โดยกลายเป็นตัวแทนคนสำคัญสำหรับการรณรงค์หาเสียงของไบเดนด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ ตามที่การรณรงค์วางไว้ ถือเป็นภัยคุกคามที่ทรัมป์มีต่อประชาธิปไตย

พันธมิตรของแฮร์ริสแย้งว่าการวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเหยียดเชื้อชาติ และการกีดกันทางเพศต่อผู้หญิงผิวสีคนแรกของประเทศในตำแหน่งดังกล่าว พวกเขากล่าวว่า ประเทศนี้กำลังเห็นในสิ่งที่พันธมิตรของเธอเห็นในตัวแฮร์ริสมาหลายปีแล้ว

“บ่อยครั้งที่จะไม่มีการมองผู้หญิงผิวดำจนกว่าพวกเธอเป็นที่ต้องการ” ลาโทชา บราวน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Black Voters Matter ซึ่งเป็นกลุ่มหัวก้าวหน้าที่ทำงานเพื่อเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำ กล่าว “เราเห็นเธอถูกตำหนิ ถูกเหยียดหยาม และตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา ฉันคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพราะมีความจำเป็น”

ที่มาภาพ:เพจ Vice President Kamala Harris

ด้านกมลา แฮร์ริส ซึ่งได้รับแจ้งถึงการตัดสินใจของไบเดนเมื่อวันอาทิตย์ กล่าวว่า เธอจะตั้งใจที่จะดำเนินการเพื่อให้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครต หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวออกจากลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและสนับสนุนเธอ ซึ่งก่อให้เกิดแรงผลักดันที่อาจทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกและเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้เป็นผู้นำในการชิงชัยของพรรคการเมืองใหญ่

“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการรับรองจากประธานาธิบดี และความตั้งใจของฉัน คือ ได้รับการเสนอชื่อ” แฮร์ริสกล่าวในแถลงการณ์

เธอใช้เวลาทั้งวันติดต่อกับฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรภายนอก และผู้บริจาค และใช้โทรศัพท์โทรออกถึง 200 ครั้งในวันอาทิตย์เพียงวันเดียว แหล่งข่าวระดับสูงจากพรรคเดโมแครตที่ใกล้ชิดกับเธอบอกกับ สำนักข่าว CNN

พรรคเดโมแครตที่มีชื่อเสียงหลายคน รวมถึงอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน ออกมาสนับสนุนแฮร์ริสอย่างรวดเร็ว แม้ว่าบางคนรวมถึงอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาที่ออกแถลงการณ์หลังการตัดสินใจของไบเดนไม่ได้กล่าวถึงรองประธานาธิบดี

แฮร์ริสสร้างประวัติศาสตร์ไว้แล้วด้วยการเป็นรองประธานาธิบดีผิวสีและรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

แฮร์ริส วัย 59 ปี เกิดที่โอ๊คแลนด์ แคลิฟอร์เนีย เป็นลูกสาวของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและผู้อพยพจากอินเดียและจาเมกาในเมืองเบิร์กลีย์

เธอเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโฮเวิร์ดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนที่จะได้รับปริญญาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาลัยกฎหมาย Hastings(Hastings College of Law) และใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพทางการเมืองในย่านอ่าวของแคลิฟอร์เนีย เธอเริ่มทำงานในสำนักงานอัยการเขตเทศมณฑลอาลาเมดา ก่อนที่จะย้ายไปที่สำนักงานอัยการเขตซานฟรานซิสโก

เธอได้เป็นรองอัยการเขตของเทศมณฑลอาลาเมดา ต่อมาเธอดำรงตำแหน่งในสำนักงานอัยการเขตและสำนักงานอัยการเมืองซานฟรานซิสโก

ในปี 2546 เธอได้รับเลือกเป็นอัยการเขตของซานฟรานซิสโก และ 7 ปีต่อมา เธอได้รับเลือกเป็นอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมีบทบาทด้านการบังคับใช้กฎหมายสูงสุดของรัฐ นับเป็นผู้หญิงคนแรก คนผิวดำคนแรก และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ ในปี 2553 และได้รับเลือกอีกครั้งในอีกสี่ปีต่อมา

ผลงานของแฮร์ริสในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นทั้งประโยชน์และเป็นโทษในการรณรงค์ทางการเมืองของเธอในตำแหน่งวุฒิสภาและในทำเนียบขาว นโยบายของเธอที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น คือโครงการจัดการกับการพฤติกรรมหนีเรียน(truancy program ) ซึ่งเปิดช่องให้มีการตั้งข้อหากระทำผิดทางอาญาการอนุญาตต่อผู้ปกครอง หากลูกๆ ขาดวันเรียนมากเกินไป แฮร์ริสกล่าวในภายหลังว่าเธอเสียใจกับ “ผลที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจ” ของโครงการนี้

ในปี 2559 ได้รับเลือกเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ต่อจากวุฒิสมาชิกบาร์บารา บ็อกเซอร์ ที่พ้นตำแหน่ง และเป็นผู้หญิงผิวดำคนที่สองที่เป็นวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา และยังเป็นผู้นำในการวิจารณ์ทรัมป์ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงนโยบายการย้ายถิ่นฐานของเขา

จากการเป็นวุฒิสมาชิก แฮร์ริสเป็นที่รู้จักจากรูปแบบการซักถามในการดำเนินคดี ในระหว่างการไต่สวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารและผู้ที่เป็นตัวแทนจากทรัมป์ ซึ่งรวมถึงอัยการสูงสุดเจฟฟ์ เซสชันส์ และเบร็ตต์ คาวานอห์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งศาลฎีกาในปี 2561

การตั้งคำถามเชิงรุกของเธอต่อ เบร็ตต์ คาวานอห์ ช่วยให้ตอกย้ำความน่าเชื่อถือของเธอให้แข็งแกร่งขึ้นในฐานะหนึ่งในดาวรุ่งอันดับต้น ๆ ของพรรคเดโมแครต

สามปีต่อมา ในเดือนมกราคม 2562 เธอเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต ตั้งแต่เริ่มต้น เธอเริ่มการหาเสียงในวันหยุดทางราชการซึ่งเป็นวันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และจัดงานแถลงข่าวที่มหาวิทยาลัยโฮเวิร์ด ซึ่งเป็นวิทยาลัยประวัติศาสตร์คนผิวดำที่เธอสำเร็จการศึกษาในปี 2529

แฮร์ริสเป็นหนึ่งในพรรคเดโมแครตที่มีมากกว่า 12 คน รวมถึงไบเดนที่ต้องการได้รับการเสนอชื่อจากพรรคในปี 2563 ช่วงเวลาการดีเบตเถียงที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของไบเดนในรอบนั้น เกิดขึ้นเมื่อแฮร์ริสตำหนิเขาเรื่องที่เขาต่อต้านในช่วงทศวรรษ 1970 ที่ศาลสั่งให้ส่งนักเรียนแยกตามโรงเรียน การขุดคุ้ยจากแฮร์ริสซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับโบ ลูกชายของไบเดนก่อนเสียชีวิตในปี 2558 สร้างความประหลาดใจให้กับไบเดนและทำให้พันธมิตรบางคนของเขาโกรธ

หลังจากที่เธอลาออก แฮร์ริสก็กลายเป็นตัวแทนคนสำคัญของไบเดน ก่อนที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในเดือนสิงหาคม 2563

“ผมตัดสินใจแล้วว่ากมลา แฮร์ริส คือคนที่ดีที่สุดที่จะช่วยผมต่อสู้กับทรัมป์และไมค์ เพนซ์ และนำประเทศนี้โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2564” ไบเดนบอกกับผู้สนับสนุนทางอีเมล

ที่มาภาพ:เพจ Vice President Kamala Harris

แฮร์ริสแต่งงานกับทนายความ ดั๊ก เอ็มฮอฟฟ์ ซึ่งกลายเป็น “สุภาพบุรุษหมายเลขสอง” second gentleman คนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งปี 2563 แฮร์ริสและเอ็มฮอฟฟ์ไม่มีลูก

เจนนิเฟอร์ วิกเตอร์ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน กล่าวกับสำนักข่าวอัลจาซีรา ว่า แฮร์ริสเป็น “รองประธานาธิบดีที่ธรรมดามาก”

แฮร์ริสสนับสนุนนโยบายอันเป็นเอกลักษณ์ของฝ่ายบริหารของไบเดนเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าเมือง การควบคุมอาวุธปืน และความพยายามในการปกป้องสิทธิในการทำแท้ง

แฮร์ริสได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการสกัดกั้นการย้ายถิ่นฐานจากอเมริกากลาง

“ความนิยมในตัวไม่ได้สูงมาก แต่เธอก็ยังไม่มีชื่อในการรายงานข่าวมากนัก” วิกเตอร์กล่าว “เธอไม่ได้ตกเป็นเป้าของวาทกรรมทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา … แต่ฉันคิดว่าเราจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมาก”

  • Harris will seek Democratic nomination and could be the first Black woman and Asian American to lead a major party ticket
  • Biden will not seek reelection; endorses Harris
  • Who is US Vice President Kamala Harris — and can she beat Donald Trump?