ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแผนการของรัฐบาลที่จะแจกเงินสดเกือบ 14 พันล้านดอลลาร์ให้กับพลเมืองวัยผู้ใหญ่เกือบทุกคน เพื่อฟื้นฟูกิจกรรมการบริโภค โดยกล่าวว่า การใช้เงินอย่างรอบคอบคือ การให้ความสำคัญกับผู้ที่ขัดสน

จากการบริโภคภาคเอกชนที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวประมาณ 4% ในปีนี้ หลังจากเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7% ในปีที่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นความต้องการโดยรวม ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กล่าวในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เมื่อวันอังคาร(18 มิ.ย.)

โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล(digital wallet)ซึ่งปัจจุบันสัญญาว่าจะแจกเงินสดให้แก่พลเมืองไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปจำนวน 50 ล้านคน คนละ 10,000 บาท (273 เหรียญสหรัฐฯ) ควรครอบคลุมผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพียง 15 ล้านคนเท่านั้น จากความเห็นของ ดร.เศรษฐพุฒิ

  • ธปท.แจงจุดยืนไม่ขัดรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย “ดิจิทัล วอลเล็ต” แนะแจกแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย
  • รายงานข่าว Thai Central Bank Renews Case to Limit $14 Billion Stimulus ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่เผยแพร่วันที่ 19 มิถุนายน ระบุว่าแม้ความเห็นของดร.เศรษฐพุฒิ จะสอดคล้องกับมุมมองที่ ธปท.เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ แต่จังหวะเวลาของการให้ความเห็นดังกล่าวย่อมสร้างความสั่นคลอนให้กับรัฐบาล และยิ่งทำให้ความบาดหมางอันยาวนานของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับวิธีจัดการกับเศรษฐกิจนั้นร้าวลึก การผลักดันโครงการแจกเงินสด 5 แสนล้านบาทไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่ายบริหารของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เผชิญกับคำถามมากมายเกี่ยวกับการจัดหาเงิน และการเปิดตัวเลื่อนออกไปหลายครั้ง

    รายงานข่าวระบุอีกว่า นายกเศรษฐาหลบเลี่ยงการต่อต้านโครงการนี้มาโดยตลอด และโน้มน้าวว่าเป็นแนวทางในการยกระดับเศรษฐกิจไทยจากการเติบโตที่ซบเซามานานหลายปี กระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและแรง(whirlwind) นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อรัฐสภาเมื่อวันพุธ โดยกล่าวว่า จะมีการนำรายได้จากภาษีที่เกิดจากโครงการนี้มาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

    ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า “หากต้องการทำโครงการนี้ ควรทำแบบเจาะจงเป้าหมายและทำแบบเล็กลงด้วย เราไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องพยายามกระตุ้นการบริโภคไปทั่ว”

    แม้การบริโภคภาคเอกชนจะเติบโตมากจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและเปราะบางยังคงประสบปัญหาจากผลกระทบจากโรคระบาดและต้องการความช่วยเหลือ ผู้ว่าการธปท.ระบุ การจำกัดกระเป๋าเงินดิจิทัลไว้เฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าระดับที่กำหนดและมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนและเบี้ยเลี้ยงอื่นๆจากรัฐนั้น ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” จากมุมมองทางการคลัง ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว

    กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ ดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นคำสัญญาหลักที่ให้ไว้ในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยรัฐบาล ได้รับผลกระทบจากการถกเถียงเรื่องจุดยืนของรัฐบาลที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับวิธีการจัดหาเงิน หลังจากในตอนแรกตั้งเป้าให้ครอบคลุมคนไทยประมาณ 55 ล้านคนและใช้เงินผ่านงบประมาณของรัฐ คณะรัฐมนตรีของเศรษฐาได้ตัดสินใจไม่รวมคนไทยที่มีฐานะดีและใช้เงินจากการกู้ยืมแบบครั้งเดียว

    แต่ความท้าทายทางกฎหมายและคำเตือนจากหน่วยงานต่อต้านการทุจริตคอรัปชันของประเทศ ทำให้รัฐบาลต้องแก้ไขทางเลือกในการจัดหาเงิน นายกเศรษฐาให้คำมั่นว่าจะแจกเงินสดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้(2567) แม้ว่าจะยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับวิธีการจัดหาเงินก็ตาม

    ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการธนาคาร ธปท. ได้จัดทำข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อให้แน่ใจว่าการกู้ยืมเงินจำนวน 172 พันล้านบาทจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)เพื่อใช้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้น จะไม่กระทบต่อความมั่นคงและสภาพคล่องของธนาคาร ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว

    ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลมีความไม่แน่นอนพอสมควร และด้วยเหตุนี้ ธปท. จึงคาดการณ์การเติบโตในปีนี้และปีหน้าไว้ที่ 2.6% และ 3% ตามลำดับ โดยไม่รวมผลกระทบจากโครงการ

    การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะกลับมาสู่ศักยภาพที่ 3% แม้ว่าไม่มีการแจกเงินสดก็ตาม ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณว่า วิถีนโยบายการเงินจะไม่ได้รับผลกระทบแม้การแจกเงินสดจะไม่เกิดขึ้นจริงก็ตาม

    ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหม่กับคดีของนายกเศรษฐาและนายทักษิณ ชินวัตร ผู้นำพรรคเพื่อไทยตัวจริง ซึ่งเผชิญคดีทางกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญต่อโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล นักเศรษฐศาสตร์จาก Citigroup Inc. และ Nomura Holdings Inc. กล่าวว่า นายกเศรษฐามีความเสี่ยงที่จะถูกขับออกจากอำนาจหากเขาถูกตัดสินว่า มีความผิดในคดีละเมิดจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณา