รายงานโดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์

ภาพปกของเพจ National Unity Government of Myanmar (จากซ้าย) ดู่หว่า ละชี ละ, อองซาน ซูจี, ประธานาธิบดีวิน มิ่น และนายกรัฐมนตรี มาน วิน ข่าย ตาน
บ่ายวันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 คณะกรรมาธิการตัวแทนรัฐสภาเมียนมา (CRPH) ซึ่งเล่นบทรัฐบาลคู่ขนานมาตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในกุมภาพันธ์ ได้ประกาศตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government: NUG) ขึ้น
NUG จะทำหน้าที่รัฐบาลเงา ประกอบด้วยบุคลากร 26 คน มีประธานาธิบดี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและรองรัฐมนตรี 11 กระทรวง อีก 22 คน
CRPH ต้องการให้นานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศรับรองรัฐบาลเงาชุดนี้ ให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ของเมียนมาอย่างเป็นทางการ และให้คว่ำบาตรสภาที่ปรึกษาแห่งรัฐ (SAC) ที่ตั้งขึ้นมาโดยกองทัพเมียนมา ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย และเป็นองค์กรนอกกฎหมาย
การประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2564 CRPH เรียกร้องให้อาเซียนเชิญตัวแทนจาก NUG เข้าร่วมประชุมแทนที่จะเป็น พล.อ.อาวุโส มิน อ่องหล่าย ประธาน SAC
NUG ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยอ้างอำนาจตามธรรมนูญสหพันธรัฐประชาธิปไตย (Federal Democracy Charter) ที่ CRPH ได้ประกาศใช้แทนรัฐธรรมนูญเมียนมา ฉบับปี 2008 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 โดยในวันที่ 16 เมษายน 2564 CRPH ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ฉบับแรก เป็นประกาศเลขที่ 23/2021 รายชื่อบุคคลในรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ และฉบับที่ 24/2021 รายชื่อรองรัฐมนตรี 12 ตำแหน่ง
CRPH พยายามอธิบายว่า โครงสร้างของ NUG เป็นการผสมผสานกันของกลุ่มบุคคลที่หลากหลาย ทั้งในด้านวิชาชีพ ความสามารถ ประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุด คือ “ชาติพันธุ์”
…
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมามีประชากรรวม 54 ล้านคน ประกอบด้วยคนจาก 135 ชาติพันธุ์ แต่มีคนชาติพันธุ์พันธุ์ “พม่า” เป็นประชากรส่วนใหญ่ และใช้ “ภาษาพม่า” เป็นภาษาทางการ
ในโครงสร้างการปกครองของเมียนมา แบ่งเป็น 7 รัฐชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ฉาน, คะฉิ่น, กะเหรี่ยง, กะยา (กะเหรี่ยงแดง), มอญ, ชิน และยะไข่ กับอีก 7 ภาค คือ ย่างกุ้ง, พะโค, อิรวดี, ตะนาวศรี, มะกวย, สะกาย และมัณฑะเลย์ มีกรุงเนปิดอ ในฐานะเมืองหลวง เป็นเขตปกครองพิเศษ
รัฐธรรมนูญปี 2008 ของเมียนมา ยังได้ให้การรับรองพื้นที่และเขตปกครองตนเองอีก 6 แห่ง ได้แก่
- พื้นที่ปกครองตนเองนาคา ในภาคสะกาย
- พื้นที่ปกครองตนเองโกก้าง
- พื้นที่ปกครองตนเองธนุ
- พื้นที่ปกครองตนเองปะหล่อง (ตะอั้ง)
- พื้นที่ปกครองตนเองปะโอ
- เขตพิเศษหมายเลข 2 สหรัฐว้า
นอกจากนี้ยังมีเขตพิเศษหมายเลข 4 เมืองลา ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหมือนอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงตุง รัฐฉานตะวันออก แม้ไม่มีชื่อถูกรับรองอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2008 แต่ในทางปฏิบัติเป็นพื้นที่ปกครองตนเองของชาวลื้อ และมีกองทัพเป็นของตนเอง ทั้งโกก้าง ธนุ ปะหล่อง ปะโอ ว้า และเมืองลา อยู่ในรัฐฉานทั้งหมด
…
เมื่อได้สืบค้นข้อมูลตัวบุคคล 26 คน ที่ได้มารวมเข้าเป็น NUG พออธิบายภาพกว้างๆ ได้ดังนี้
26 คน ใน NUG ไม่มีผู้ใดที่มาจากกองทัพพม่า (Tatmadaw) โดยตรง แทบทั้งหมดเป็นนักการเมือง หรือเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรคหรือกลุ่มการเมืองที่คนเหล่านี้สังกัด คือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ที่มีอองซาน ซูจี เป็นผู้นำ หรือไม่ก็เป็นพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่เป็นพันธมิตร หรือเป็นแนวร่วมกับ NLD ในการต่อต้านกองทัพพม่า
ใน 26 คน มีอย่างน้อย 4 คน เป็นแพทย์
เมื่อแยกตามกลุ่มชาติพันธุ์ หากเทียบกับชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในเมียนมาทั้งหมด 135 ชาติพันธุ์แล้ว บุคคลใน NUG อาจดูกระจุกตัวอยู่กับชาติพันธุ์เพียงไม่กี่กลุ่ม โดยใน 26 คนนี้ เป็นชาวพม่ามากที่สุด 11 คน ที่เหลือเป็น
- ชาวกะเหรี่ยง 3 คน
- ชาวกะเหรี่ยงแดง 3 คน
- ชาวคะฉิ่น 3 คน
- ชาวชิน 2 คน
- ชาวมอญ 2 คน
- ชาวตะอั้ง 1 คน
- มี 1 คน ที่ข้อมูลเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของเธอที่ปรากฏออกมา มีความขัดแย้งกันเอง
ใน 6 ชาติพันธุ์ (ยกเว้นพม่า) ที่มาร่วมอยู่ใน NUG มี 2 ชาติพันธุ์ที่มีกองกำลังติดอาวุธขนาดใหญ่ และกำลังสู้รบอยู่กับกองทัพพม่าอย่างหนักและต่อเนื่อง คือคะฉิ่น ที่มีกองทัพเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกะเหรี่ยง ซึ่งมีกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army: KNLA) เป็นกองทัพของตน
ส่วนกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่อื่นๆ อย่างกองทัพอาระกัน (AA) กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) หรือกองทัพสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS/SSA) ไม่มีตัวแทนเข้าร่วมอยู่ใน NUG
ช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 16 เมษายน หลัง CRPH เพิ่งประกาศตั้ง NUG ออกมาเมื่อตอนบ่าย พล.อ. ทุน เมียต ไหน่ ผู้บัญชาการ กองทัพอาระกัน (AA) ได้ทวีตข้อความที่มีเนื้อหาโดยสรุปได้ว่า CRPH ได้ส่งเทียบเชิญให้เขาเข้าร่วม NUG แล้ว แต่เขาได้ปฏิเสธ
ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ในวันที่ 10 เมษายน พล.อ. ทุน เมียต ไหน่ ได้เขียนสาสน์ในภาษาอาระกัน ในโอกาสครบรอบ 12 ปี ของการก่อตั้งกองทัพอาระกัน ระบุว่าเขาไม่ต้องการให้ในรัฐยะไข่มีปฏิบัติการอารยะขัดขืนโดยการหยุดงาน (CDM) หรือการออกมาเดินขบวนประท้วงการรัฐประหารบนท้องถนน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำลายเป้าหมายของกองทัพอาระกันที่ต้องการสร้างเอกราชให้กับรัฐยะไข่
พล.อ. ทุน เมียต ไหน่ เขียนว่ากองทัพอาระกันพร้อมให้การสนับสนุนทุกชาติพันธุ์ในเมียนมา แม้แต่คนพม่า ให้บรรลุถึงเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม ชาวยะไข่มีเป้าหมายของตนเองที่ชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งเรียกว่า “Way of Rakhita” หรือความฝันของชาวยะไข่ นั่นคือการสร้างอาณาจักรอาระกันซึ่งเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีตให้กลับคืนมาอีกครั้ง
…สำหรับผู้ที่อยู่ใน NUG แยกตามรายบุคคล เท่าที่ได้สืบค้นข้อมูลมา มีรายละเอียดพอสรุปได้ดังนี้
ทั้งคู่เป็นชาวพม่า และอยู่ในตำแหน่งเดิมที่เคยดำรงมาในรัฐบาลชุดที่ถูกรัฐประหาร และปัจจุบันทั้งคู่อยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวโดยคณะรัฐประหาร ที่สำคัญ ข้อมูลของทั้งคู่ได้ถูกเผยแพร่ออกมาต่อสาธารณะเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึง

ดร.ส่าส่า (ขวา) ก่อนถูกตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ ใน NUG เขาเป็นทูตพิเศษของ CRPH ในสหประชาชาติ ทำหน้าที่เหมือนโฆษกของ CRPH ในภาพ ดร.ส่าส่าถ่ายรูปคู่กับ Pu Zoramthanga มุขมนตรีรัฐมิโซรัม ของอินเดีย ซึ่งมีพื้นที่ติดกับรัฐชิน ดร.ส่าส่า โพสต์ภาพนี้ในเพจส่วนตัวของเขา เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ขอบคุณรัฐมิโซรัม ที่อยู่เคียงข้างชาวเมียนมาในการต่อต้านรัฐประหาร
ข้อมูลที่หาได้ในอินเทอร์เน็ตล้วนระบุว่า ขุน บีดู เป็นชาวกะเหรี่ยงแดง แต่มีข้อสังเกตตรงชื่อที่ใช้คำนำหน้าว่า “ขุน” ซึ่งเป็นคำนำหน้านามของชายที่เป็นชาติพันธุ์ปะโอ อีกทั้งรัฐกะยาก็มีพื้นที่บางส่วนที่คาบเกี่ยว ทับซ้อนกับเขตปกครองตนเองปะโอในรัฐฉาน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าขุน บีดู อาจมีเชื้อสายปะโอด้วย
อิ ตินส่า หม่อง เป็นรัฐมนตรีใน NUG ที่มีอายุน้อยที่สุด เธอเกิดวันที่ 11 กันยายน 2537 ปัจจุบันอายุเพิ่งย่าง 27 ปี เรียนจบด้านภาษาต่างประเทศจาก Mandalay University
อิ ตินส่า หม่อง เคยถูกจับติดคุก ในภาคพะโค เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2558 เพราะเป็นแกนนำประท้วงกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ ในสมัยประธานาธิบดีเตง เส่ง
สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (Assistance Association for Political Prisoners: AAPP) เคย บันทึกประวัติของของอิ ตินส่า หม่องในปีที่เธอถูกจับว่า อิ ตินส่า หม่อง เป็นชาวพม่า
แต่เมื่อเธอได้เดินนำขบวนเหล่าพนักงานจากโรงงานสิ่งทอที่ออกมาประท้วงบนท้องถนนในกรุงย่างกุ้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ หลัง พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เพิ่งทำรัฐประหารได้ไม่กี่วัน อิ ตินส่า หม่อง สวมเสื้อผ้าของชาวกะเหรี่ยง ทำให้สื่อหลายสำนักบันทึกประวัติของเธอว่าเป็นชาวกะเหรี่ยงแดง
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 เว็บไซต์ Women in Journalism ได้ลงบทสัมภาษณ์ อิ ตินส่า หม่อง มีเนื้อหาช่วงหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ได้เขียนถึงเธอว่าเป็นชาวคะฉิ่น

อิ ตินส่า หม่อง (คนขวา) เมื่อครั้งนำขบวนกลุ่มพนักงานหญิงโรงงานทอผ้าในกรุงย่างกุ้งประท้วงรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เธอสวมเสื้อของชาวกะเหรี่ยง ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเธอเป็นชาวกะเหรี่ยงแดง
กลุ่มบุคคลเหล่านี้ คือผู้ที่จะพยายามขับเคลื่อน นำหน้าเรียกร้องให้เมียนมาหลุดออกจากการปกครองของทหาร