ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 15-21 ธ.ค. 2561
- พปชร. จัด “โต๊ะจีน” ระดมทุน 600 ล้าน “คลัง – ททท.” ปฏิเสธ ซื้อโต๊ะ
- คพ. เตือน สถานการณ์ฝุ่น กทม. อันตรายหลายพื้นที่
- ครม. ไฟเขียว 1-15 ก.พ. 2562 จ่ายผ่านบัตรเดบิตคืนภาษี 5%
- 21 ม.ค. ปีหน้าขึ้นค่ารถเมล์
- ปูตินสั่งคุมเพลงแรปในรัสเซีย
พปชร. จัด “โต๊ะจีน” ระดมทุน 600 ล้าน “คลัง – ททท.” ปฏิเสธ ซื้อโต๊ะ

ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา (http://bit.ly/2R6SbeD)
เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรารายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2561 พรรคพลังประชารัฐ จัดงานระดมทุนโต๊ะจีน 200 โต๊ะ โต๊ะละ 3 ล้านบาท ที่อิมแพคเมืองทองธานี โดยมีนายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาในฐานะแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ร่วมงาน มีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นหัวหน้าคณะผู้จัดงาน รวมถึงมีนักการเมืองระดับชาติ และนักธุรกิจเข้าร่วมอย่างคับคั่งนั้น
วันที่ 20 ธ.ค. 2561 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า งานระดุมทุนพรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมา โต๊ะจีนราคา 3 ล้านบาท โต๊ะหนึ่งมี 10 ที่นั่ง ตกที่นั่งละ 3 แสนบาท ต้องตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐ (รัฐมนตรี และข้าราชการ) จำนวนเท่าใดที่เข้าร่วมงานนี้ และซื้อบัตรเข้าร่วมงานเองหรือมีผู้ออกเงินให้ หากอ้างว่ามีคนอื่นออกเงินให้จะเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กรณีห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับเงินเกิน 3 พันบาทหรือไม่ แต่หากเจ้าหน้าที่รัฐซื้อบัตรเข้างานเองจะต้องตรวจสอบว่า ใช้เงินจากไหนมาซื้อบัตรที่นั่งละ 3 แสนบาท
สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า ในงานระดมทุนโต๊ะจีนของพรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมา มีการวางแผนผังแบ่งเป็น 2 โซน 200 โต๊ะ ได้แก่ โซนวีไอพี คือนักการเมืองชื่อดัง และนักธุรกิจใหญ่ รวม 100 โต๊ะ กับโซนธรรมดา คือพวกศิลปินดารา อดีต ส.ส. ต่างจังหวัด สื่อมวลชน เป็นต้น รวม 100 โต๊ะ
สำหรับการแบ่งโซนดังกล่าว แบ่งด้วยสี ได้แก่
-
1. สีเนื้อ ระบุว่า ท่านเลขา (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) รวม 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท
2. สีเหลือง ระบุว่า คลัง 20 โต๊ะ 60 ล้านบาท
3. สีส้มแดง ระบุว่า ดร.อั๋น 16 โต๊ะ 48 ล้านบาท
4. สีเหลืองอ่อน ระบุว่า Buddy 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท
5. สีเหลืองเข้ม ระบุว่า ททท 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท
6. สีเลือดหมู ระบุว่า ดร.เอก (นายณพพงศ์ ธีระวร กรรมการบริหารพรรค) 24 โต๊ะ 72 ล้านบาท
7. สีเขียวขี้ม้า ระบุว่า มาดามเดียร์ (นางวทันยา วงษ์โอภาสี) 1 โต๊ะ 3 ล้านบาท
8. สีน้ำเงิน ระบุว่า กรรมการบริหารพรรค 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท
9. สีฟ้าอ่อน ระบุว่า หัวหน้าพรรค (นายอุตตม สาวนายน) 1 โต๊ะ 3 ล้านบาท
10. สีเขียวเข้ม ระบุว่า ทีมชาติ/รวมดารา 2 โต๊ะ 6 ล้านบาท
11. สีเขียวอ่อน ระบุว่า หัวหน้าทีม 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท
12. สีเขียวทึบ ระบุว่า สื่อ 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท
13. สีฟ้าอ่อน ระบุว่า พรรคการเมือง 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท
14. สีกรมท่า ระบุว่า กทม 10 โต๊ะ 30 ล้านบาท
รวม 99 โต๊ะที่มีการระบุชื่อ ส่วนที่เหลืออีก 101 โต๊ะ เป็นสีขาว ถูกระบุว่า เป็นโต๊ะของบรรดาอดีต ส.ส. และสมาชิกพรรคที่เข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ
เว็บไซต์สำนักข่าวิศราได่ตั้งข้อสังเกตว่า ในข้อที่ 2, 5 และ 14 นั้น คำย่อและอักษรย่อที่ใช้ กล่าวคือ คลัง, ททท และ กทม. นั้นหมายถึง กระทรวงการคลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร หรือไม่
ทางสำนักข่าวอิศราจึงได้สอบถามไปยังนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการมาร่วมงานระดมทุนโต๊ะจีนพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายณัฏฐพล กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดจากผังงานดังกล่าว เพราะไม่ได้ดูแลส่วนนี้ อย่างไรก็ดีทุกคนมาร่วมงานตามปกติ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีใครบ้าง ขั้นตอนต่อจากนี้คือต้องตรวจสอบว่า มีการจ่ายเงินกันอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ เกินเพดานตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ตรงนี้เป็นรายได้ที่พรรคต้องตรวจสอบอยู่แล้ว
จากการนำเสนอข่าวดังกล่าว นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ตั้งคำถามว่า
-
1. ผู้เป็นรัฐมนตรีได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงาน เพื่อให้หน่วยงานราชการรัฐวิสาหกิจ สนับสนุน ค่าโต๊ะจีนดังกล่าวหรือไม่
2. หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ได้ใช้เงินงบประมาณของรัฐ หรือไปขอการสนับสนุนหน่วยงานเอกชน เพื่อให้มาสนับสนุนงานดังกล่าวหรือไม่
ด้าน พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงกรณีการระดมทุนดังกล่าวว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พรรคการเมืองสามารถหารายได้ของพรรคหรือระดมทุนได้ แต่หลังจากการระดมทุนแล้ว พรรคการเมืองจะต้องรายงานต่อนายทะเบียนพรรค และประกาศให้ประชาชนรับทราบภายใน 30 วัน นับจากวันที่จัดงาน รวมถึงต้องรายงานต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วยว่าบุคคลใดบ้างบริจาคเกิน 100,000 บาท ซึ่งเหตุผลที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นนี้ เนื่องจากต้องการให้เกิดความโปร่งใสในพรรคการเมือง และให้การดำเนินการหารายได้ของพรรคมีธรรมาภิบาล
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า กระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นของรัฐร่วมซื้อโต๊ะจีนด้วยนั้น พ.ต.อ. จรุงวิทย์ กล่าวว่า ปกติตามหลักการทั่วไปหน่วยงานรัฐจะมีขอบเขตการใช้เงินของรัฐอยู่แล้วว่าอะไรสามารถใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐได้บ้าง ซึ่งเงินจากหน่วยงานของรัฐถือเป็นเงินหลวง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นต้องรอให้พรรคพลังประชารัฐรายงานมายังนายทะเบียนพรรคการเมืองถึงที่มาของรายได้ก่อน กกต. จึงจะดำเนินการตรวจสอบได้
ต่อกรณีดังกล่าว นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว และขอให้หยุดนำเสนอข่าวอันอาจทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสียชื่อเสียง
นายยุทธศักดิ์บอกด้วยว่า ททท. อาจจะดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท และ ททท. มีนโยบายในการใช้งบประมาณอย่างถูกต้องเหมาะสม คุ้มค่า และตรวจสอบได้ ดังนั้น ททท. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว เนื่องจากระเบียบด้านการเงิน ไม่สามารถกระทำได้ อีกทั้งการใช้งบประมาณในวงเงินดังกล่าว ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการ ททท. ซึ่งมีขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งไม่มีวาระการประชุมหรือวาระพิจารณาที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ด้านนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ก็ปฏิเสธในเรื่องดังกล่าวโดยบอกว่า ตามปกติรัฐวิสาหกิจในสังกัดคลังไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวหรือสนับสนุนการเมือง เพราะมีข้อห้ามรัฐวิสาหกิจถือว่าเป็นหน่วยงานรัฐ ดังนั้นอยากถามว่าคนที่ออกมาให้ข่าวนำข้อมูลมาจากไหน มีหลักฐานอะไรนำมาแสดงหรือไม่ ปกตินายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ใช่คนประเภทไปยุ่งการเมือง ส่วนจะมีผู้บริหารหน่วยงาน หรือ รัฐวิสาหกิจไหน ควักเงินซื้อโต๊ะส่วนตัว หรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ แต่ถ้าข้าราชการไปยุ่งการเมือง ถือว่ามีความผิด
คพ. เตือน สถานการณ์ฝุ่น กทม. อันตรายหลายพื้นที่

ที่มาภาพ: เว็บไซต์ air4thai กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ (http://bit.ly/2RbIPy6)
วันที่ 20 ธ.ค. 2561 หน้าเฟซบุ๊กกรมคบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์ PM2.5 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2561 โดยระบุว่า พื้นที่ริมถนนอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 17 พื้นที่ และมีผลกระทบต่อสุขภาพ 2 พื้นที่ ส่วนในพื้นที่ทั่วไปอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 13 พื้นที่
ในส่วนของพื้นที่ริมถนน ที่สถานการณ์อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประกอบด้วย
-
1. ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน จ.กรุงเทพฯ
2. ริมทางคู่ขนานถนนพระรามสอง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
อนึ่ง จากการติดตามล่าสุดในวันที่ 22 ธ.ค. 2561 พบว่า ในวันที่ 21 ธ.ค. 2561 นั้น แม้สถานการณ์ฝุ่นละอองพื้นที่ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน จ.กรุงเทพฯ จะลดระดับไปเป็นเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่โดยรวมแล้ว จำนวนของพื้นที่ริมถนนที่สถานการณ์อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ ได้เพิ่มขึ้นอีกหลายพื้นที่ ดังนี้
-
1. ริมทางคู่ขนานถนนพระรามสอง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
2. ริมถนนดินแดง เขตดินแดง จ.กรุงเทพฯ
3. ริมถนนลาดพร้าว ซ.ลาดพร้าว 95 เขตวังทองหลาง จ.กรุงเทพฯ
4. ริมถนนพระราม 3-เจริญกรุง เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพฯ
5. ริมถนนพระราม 3 เขตยานนาวา จ.กรุงเทพฯ
6. ริมถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ เขตธนบุรี จ.กรุงเทพฯ
7. ริมถนนเพชรเกษม เขตภาษีเจริญ จ.กรุงเทพฯ
8. ริมถนนพระรามสอง เขตบางขุนเทียน จ.กรุงเทพฯ
กรมควบคุมมลพิษได้แจ้งด้วยว่า ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ-มีผลกระทบต่อสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงหรือลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่กลางแจ้ง
ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ได้ทางแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ air4thai
ครม. ไฟเขียว 1-15 ก.พ. 2562 จ่ายผ่านบัตรเดบิตคืนภาษี 5%

ที่มาภาพ: เว็บไซต์คมชัดลึก (http://bit.ly/2R9Pn0k)
เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2561 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ประชาชนที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเดบิต ในอัตรา 5% ทุกรายการ ยกเว้นเหล้า เบียร์ บุหรี่ โดยวงเงินซื้อสินค้าได้สูงสุด 20,000 บาท คืนภาษี 1,000 บาท โดยมีระยะเวลาการซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 2562 โดยขั้นตอนการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจะโอนเงินกลับไปยังระบบพร้อมเพย์ ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชนภายใน 15 วันหลังการซื้อสินค้า
ทั้งนี้ มาตรการนี้เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้อีเพย์เมนต์ หนุนร้านค้าเข้าระบบบริการเก็บข้อมูลการขายเเละการจ่ายเงินเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการ หรือระบบพีโอเอสซึ่งช่วยทำให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีของกรมสรรพากรด้วย
ทั้งนี้ จากการคำนวณการใช้จ่ายของประชาชน คาดว่าจะใช้เงินคืนภาษีกว่า 9,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่ใช่การหาเสียงและไม่เกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะกระทรวงการคลังต้องการสร้างระบบอีเพย์เมนต์ให้แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ
21 ม.ค. ปีหน้าขึ้นค่ารถเมล์
เว็บไซต์เนชั่นทั่วไทยรายงานว่า นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการฯ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงอัตราค่าโดยสารรถประจำทาง ได้แก่ รถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รถโดยสารประจำทางที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (รถเมล์เอ็นจีวี) ของ ขสมก., รถร่วมบริการ ขสมก. ใน กทม.และปริมณฑล และรถโดยสารร่วมบริการของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)
มติที่ประชุมปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก. และรถร่วมบริการ ขสมก. ในอัตรา 1 บาท โดยรถเมล์ร้อนจากเดิม 9 บาท เป็น 10 บาท และรถเมล์ ขสมก. จากเดิม 6.50 บาท เป็นไม่เกิน 10 บาท ส่วนรถปรับอากาศเพิ่มระยะละ 1 บาท จากเดิม 11-23 บาทต่อเที่ยว เป็น 12-24 บาทต่อเที่ยว ขณะที่รถร่วม บขส. ให้ปรับราคาขึ้นไม่เกิน 10% แบ่งเป็น 4 ช่วง ประกอบด้วย ระยะทาง 40 กิโลเมตร(กม.)แรก เดิม 0.49 บาทต่อ กม. เป็น 0.53 บาทต่อ กม. ระยะทาง 40-100 กม. เดิม 0.44 บาทต่อ กม. เป็น 0.48 บาทต่อ กม.ระยะทาง 100-200 กม. เดิม 0.40 บาทต่อ กม. เป็น 0.44 บาทต่อ กม. และระะทางเกิน 200 กม. เดิม 0.36 บาทต่อ กม. เป็น 0.39 บาทต่อ กม.
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติปรับอัตราค่าโดยสารสำหรับรถเมล์ปรับอากาศใหม่ เช่น รถเมล์เอ็นจีวี จากเดิมเก็บในอัตรา 11-23 บาทต่อเที่ยว เป็น 4 กม.แรก 15 บาท 10-16 กม. 20 บาท และ 16 กม.ขึ้นไป 25 บาท ส่วนรถเมล์ร้อนที่เป็นรถใหม่ สามารถเก็บอัตราค่าโดยสารได้ในราคา 12 บาท โดยรถเมล์ใหม่ทั้งรถร้อน และรถปรับอากาศที่จะเก็บค่าโดยสารในอัตรานี้ได้ต้องเป็นรถที่ติดอุปกรณ์ส่วนควบตามเงื่อนไขที่ กรมการขนส่งทางบกกำหนด อาทิ ติดจีพีเอส กล้องซีซีทีวี อุปกรณ์ความปลอดภัย และติดตั้งระบบอีทิกเก็ต ทั้งนี้การปรับขึ้นราคาในอัตราใหม่ทั้งหมดนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป
ปูตินสั่งคุมเพลงแรปในรัสเซีย

ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ที่มาภาพ: http://www.sfgate.com/news/article/Here-are-10-critics-of-Vladimir-Putin-who-died-11025728.php#photo-12602391
เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า ที่ประเทศรัสเซียนั้น ในช่วงที่ผ่านมามีคอนเสิร์ตดนตรีแรปหลายแห่งทั่วประเทศที่ถูกสั่งยกเลิก โดยนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ระบุว่า เมื่อไม่สามารถ “สั่งห้าม” ดนตรีแรปได้ รัฐก็ควรจะเข้าไปมีบทบาทในการควบคุมมากกว่าเก่าโดยเขาบอกว่า กระทรวงวัฒนธรรมรัสเซียจะหาทางที่ดีที่สุดในการ “นำแนวทาง” ของคอนเสิร์ตกลุ่มวัยรุ่น
นายปูตินกล่าวขณะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเพื่อวัฒนธรรมและศิลปะที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กว่า ต้องจัดการปัญหานี้ด้วยความระมัดระวัง โดยบอกว่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเรื่องการใช้ยาเสพติดของวัยรุ่น
“แรป และศิลปะสมัยใหม่รูปแบบอื่นๆ ตั้งอยู่บนเสาหลัก 3 ประการ เซ็กส์ ยาเสพติด และการประท้วงต่อต้าน ผมเป็นห่วงเรื่องยาเสพติด นี่เป็นหนทางไปสู่ความถดถอยของประเทศ”
นายปูตินได้บอกอีกว่า เขายังมีความกังวลเรื่องภาษาที่ใช้ในดนตรีแรปอีกด้วย และบอกว่าได้พูดคุยกับนักภาษาศาสตร์แล้ว หลังจากเธอได้อธิบายกับเขาว่า การสบถเป็นส่วนหนึ่งของภาษารัสเซีย นายปูตินได้เปรียบเทียบเรื่องภาษากับร่างกาย โดยบอกว่า แม้ร่างกายเราจะมีส่วนประกอบหลายส่วน แต่ก็ไม่จำเป็นที่เราต้องเผยทุกส่วนของร่างกายให้คนอื่นเห็น
ที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียมีปัญหากับวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน Pussy Riot วงพังก์ซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมือง อ้างว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซียวางยาหนึ่งในสมาชิกของวงเมื่อเดือน ก.ย. 2561
ย้อนกลับไปในสมัยสหภาพโซเวียต ดนตรีป็อปและร็อกจากชาติตะวันตกถูกมองในแง่ลบ และนักดนตรีร็อกชาวรัสเซียบางคนก็ถูกดำเนินคดีด้วย