ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 27 ต.ค. – 2 พ.ย. 2561

  • อาลัย วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของคิงเพาเวอร์และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ิตี้ ฮ.ตกเสียชีวิต
  • ขบ. เล็งขึ้นค่าแท็กซี่โอเคก่อนสิ้นปี – สมาคมแท็กซี่จ่อจับมือทุนใหญ่ เหมาจ่ายรายเดือน-ใช้ได้ไม่จำกัดเที่ยว
  • รอลงอาญา สุวิทย์ อดีตพระพุทธะอิสระ เจ้าตัวเตรียมบวชอีกครั้ง 1 ธ.ค.
  • บรรจุ “น้องแบม” เป็นข้าราชการแล้ว
  • ไลอ้อนแอร์ตก คาด เสียชีวิตทั้งลำ 189 ราย
  • อาลัย วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของคิงเพาเวอร์และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ิตี้ ฮ.ตกเสียชีวิต

    นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

    วันที่ 29 ต.ค. 2561 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า จากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ของนายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ตก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2561 ที่บริเวณตกที่ลานจอดรถสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ส่งผลให้เกิดไฟลุกไหม้ โดยยังไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการ

    ล่าสุด สโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ออกแถลงการณ์เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 29 ตุลาคม 2561 (ตามเวลาประเทศไทย) ยืนยันการเสียชีวิตของนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของสโมสร จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกข้างสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียมแล้ว

    แถลงการณ์ระบุว่า “นับเป็นความโศกเศร้าอย่างที่สุดและเป็นความรู้สึกของหัวใจที่แตกสลาย เมื่อเราต้องยืนยันว่า วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรของพวกเราเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกนอกสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม โดยผู้โดยสารและนักบินรวม 5 รายบนเครื่องไม่มีใครรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้

    “ทุกๆ คนที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวศรีวัฒนประภา และผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้

    “การจากไปของคุณวิชัย หมายถึงการสูญเสียบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้ซึ่งอุทิศความรักให้ครอบครัวและผู้ใต้บังคับบัญชา สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เปรียบเหมือนครอบครัวภายใต้การนำของเขา และการสูญเสียครั้งนี้ก็นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสมือนหนึ่งการสูญเสียบุคคลในครอบครัว ทุกๆ คนจะพยายามรักษาวิสัยทัศน์การบริหารงานสโมสรในทิศทางที่เป็นอยู่ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสมบัติตกทอดจากคุณวิชัยแล้ว

    “หลังจากนี้ สโมสรจะเปิดให้แฟนบอลที่ต้องการร่วมแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตได้ลงนามในหนังสือไว้อาลัยที่สนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันอังคารที่ 30 ตุลาคม

    “สำหรับแฟนบอลที่ไม่สามารถเดินทางไปยังสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม ได้ แต่ต้องการร่วมส่งข้อความไว้อาลัย สามารถลงนามผ่านหนังสือไว้อาลัยออนไลน์ซึ่งจะเปิดให้บริการทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสร lcfc.com ต่อไป

    “สำหรับเกมการแข่งขันฟุตบอลคาราบาวคัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งเลสเตอร์จะพบกับเซาแธมป์ตันในวันที่ 30 ตุลาคม รวมทั้งแมตช์เตะทีมสำรองพบฟายนอร์ดในฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อินเตอร์เนชั่นแนล คัพ วันเดียวกัน ต่างจะเลื่อนโปรแกรมแข่งขัน

    “ทุกๆ คนที่สโมสรแห่งนี้ต่างรู้สึกซาบซึ้งในความห่วงใยและกำลังใจจากครอบครัวลูกหนังทั่วโลกที่ร่วมส่งข้อความแทนกำลังใจ และแสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้เป็นอย่างยิ่ง”

    อ่านข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ที่นี่

    ขบ. เล็งขึ้นค่าแท็กซี่โอเคก่อนสิ้นปี – สมาคมแท็กซี่จ่อจับมือทุนใหญ่ เหมาจ่ายรายเดือน-ใช้ได้ไม่จำกัดเที่ยว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (http://bit.ly/2Rs9N0R)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในฐานะโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับความคืบหน้าการพิจารณาปรับอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่มิเตอร์ ว่า ขณะนี้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ส่งผลการศึกษาปัญหาความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการแท็กซี่รวมทั้งโครงสร้างต้นทุนการประกอบการและอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันให้กับกรมการขนส่งทางบกพิจารณาแล้ว โดยกรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างสรุปผลการศึกษาอีกครั้ง ก่อนเสนอนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.กระทรวงคมนาคม ภายในสัปดาห์นี้

    ทั้งนี้ ผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอไม่ได้ระบุให้ปรับอัตราเริ่มต้น แต่จะเป็นการชดเชยเวลาการเดินทาง คือในช่วงเวลารถติด หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีรถติด โดยเฉลี่ยจะให้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้รถแท็กซี่สามารถอยู่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาพิจารณาแล้วเห็นว่า รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายของรถแท็กซี่แล้ว ควรจะอยู่ที่ 1.5 เท่าของรายได้ขั้นต่ำ

    โดยปัจจุบันรถแท็กซี่มีรายได้ 1,564 บาท รายจ่ายประมาณ 1,156 บาท เหลือรายได้ประมาณ 400 บาทต่อวัน ซึ่งมากกว่ารายได้ขั้นในกรุงเทพฯ 325 บาทต่อวันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากจะให้รถแท็กซี่อยู่ได้จริงจะต้องมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,643 บาทต่อวัน ดังนั้นจึงพิจารณาปรับค่าโดยสารดังกล่าว

    รองอธิบดี ขบ. กล่าวต่อว่า การพิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสารในครั้งนี้ จะได้สิทธิเฉพาะรถแท็กซี่มิเตอร์ที่เข้าร่วมโครงการแท็กซี่โอเคที่มีอยู่ 12,986 คัน ทั่วประเทศ จากแท็กซี่มิเตอร์ในกรุงเทพฯ ที่มีทั้งหมด 80,647 คัน หากแท็กซี่มิเตอร์คันอื่นต้องการปรับขึ้นค่าโดยสารตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะต้องเข้าร่วมโครงการแท็กซี่โอเคเท่านั้น จึงจะสามารถปรับได้

    ต่อการเตรียมการปรับขึ้นราคาเฉพาะแท็กซี่มิเตอร์ที่เข้าร่วมโครงการแท็กซี่โอเคดังกล่าว เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายวรพล แกมขุนทด นายกสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เรื่องดังกล่าวได้คิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะต้องออกมาในรูปแบบนี้ เพราะมีการวางแผนกันไว้แล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องผลต่างตอบแทน โดยแท็กซี่สมาคมที่เข้าร่วมโครงการแท็กซี่โอเคของกรมการขนส่งทางมีไม่มาก มีเพียงไม่กี่คันเท่านั้น จากสมาชิกทั้งหมดที่มีประมาณ 2 พันคัน

    นายวรพล กล่าวว่า ทั้งนี้บริษัท มาย แท็กซี่ (My Taxi) ของตน จะร่วมมือกับนักลงทุนรายใหญ่ภายในประเทศ เปิดให้บริการรถแท็กซี่รูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องเพิ่งพาการปรับค่าโดยสารจากกรมการขนส่งทางบก คือ จะไม่กดมิเตอร์ โดยให้บริการในรูปแบบของเหมาจ่ายเป็นรายเดือน โดยผู้โดยสารที่จะใช้บริการสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกในราคา 10,200 บาทต่อเดือน ใช้บริการได้ไม่จำกัดเที่ยววิ่งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล พร้อมกันนี้จะแถมน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ 6 ขวด และอาหารเสริมที่บริษัทเปิดจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ให้ไปด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางได้มากพอสมควร เนื่องจากสามารถให้รถแท็กซี่ไปรับที่ไหนก็ได้ ผ่านทางแอปพลิเคชัน โดยตั้งเป้าหมายจะเปิดให้บริการได้ในต้นปีหน้า

    “ตามระเบียบแล้ว สมาคมฯไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ แต่ตนมีบริษัทด้วย ดังนั้นจะดำเนินการภายใต้บริษัทที่มีอยู่เพื่อร่วมลงทุนในการให้บริการในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งทางผู้ลงทุนก็ตอบรับที่จะลงทุนกับทางบริษัทแล้ว”นายวรพลกล่าว

    นายวรพลกล่าวว่า ที่สามารถดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวได้ เนื่องจากจะมีการจ่ายเงินให้กับรถแท็กซี่ที่สมัครเข้ามาร่วมให้บริการจำนวน 2 พันบาทต่อวัน ดังนั้นรถแท็กซี่จึงไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาผู้โดยสาร และจะไม่มีปัญหาปฏิเสธผู้โดยสารเกิดขึ้นแน่นอน เพราะจะมีทีมงานที่คอยบริหารจัดการตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องต่างๆ ไว้แล้ว รวมถึงการฝึกอบรมรถแท็กซี่ที่สนใจจะเข้าร่วมดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

    “ตอนนี้มีสมาชิกรถแท็กซี่สนใจเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวนมาก และอยู่ระหว่างทยอยฝึกอบรมเกี่ยวกับรูปแบบการให้บริการที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง” นายวรพลกล่าว

    นายวรพลกล่าวว่า สำหรับรูปแบบที่ให้บริการครั้งนี้ จะไม่เหมือนกับที่นครชัยแอร์เคยให้บริการออลไทยแท็กซี่ เพราะเป็นคนละรูปแบบกัน โดยนครชัยแอร์ไม่สามารถให้บริการในรูปแบบนี้ได้ เพราะบริษัทได้จดลิขสิทธิ์ไว้ตั้งแต่ปี 2557 แล้ว ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรขอปิดไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่องของธุรกิจ จะให้รายละเอียดที่ชัดเจนได้ภายหลังจากเปิดให้บริการแล้ว

    รอลงอาญา สุวิทย์ อดีตพระพุทธะอิสระ เจ้าตัวเตรียมบวชอีกครั้ง 1 ธ.ค.

    นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตพระพุทธะอิสระ
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ THE STANDARD (https://bit.ly/2QqnEoZ)

    วันที่ 29 ต.ค. 2561 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า ศาลอาญารัชดาภิเษก พิพากษาสั่งจำคุก 3 ปี นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตพระพุทธะอิสระ คดีทำร้ายตำรวจสันติบาลในม็อบ กปปส. แจ้งวัฒนะ ระหว่างปี 2556-2557 คดีหมายเลขดำ อ.2498/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุวิทย์ ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยการใดให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ได้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตราย หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 ประกอบมาตรา 83 

    อย่างไรก็ตาม จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่งคงเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน ขณะที่การพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะฯ แล้วเห็นว่า จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ประกอบกับจำเลยได้บรรเทาผลร้ายในคดีจนผู้เสียหายพอใจและไม่ติดใจเอาความ จึงให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 1 ปี ส่วนที่อัยการโจทก์ขอให้ศาลนับโทษต่อคดีร่วมกันก่อการกบฏนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอ

    ทั้งนี้มีรายงานว่า นายสุวิทย์ได้เตรียมบวชอีกครั้งในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ แต่ยังไม่เปิดเผยว่าจะเป็นวัดอ้อน้อยหรือไม่ 

    บรรจุ “น้องแบม” เป็นข้าราชการแล้ว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (http://bit.ly/2RrnuNF)

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2561 พ.ต.ท. วันนพ สมจิตนากุล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ท. เปิดเผยว่า น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือน้องแบม อดีตนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร้องเรียนความไม่โปร่งใสการเบิกจ่ายงบประมาณเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น ได้แสดงความจำนงพร้อมกับยื่นใบสมัครคัดเลือกเพื่อบรรจุเข้ารับราชการในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ท. เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2561 และสำนักงาน ก.พ. ได้มีมติอนุมัติให้ป.ป.ท. คัดเลือก น.ส.ปณิดาเข้ารับราชการได้ โดยล่าสุดป.ป.ท. ได้ดำเนินการคัดเลือกเพื่อบรรจุ น.ส. ปณิดาเข้ารับราชการในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ท. ตามขั้นตอนระเบียบและกฎหมาย โดยให้ น.ส.ปณิดาดำรงตำแหน่งนักวิชาการยุติธรรมปฏิบัติการ ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขต 4 จ.ขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2561 เป็นต้นไป

    สำหรับ น.ส.ปณิดา เป็นผู้ร้องเรียนความไม่โปร่งใสการเบิกจ่ายงบประมาณเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีพฤติการณ์เบิกจ่ายเงินซ้ำซ้อน ระบุจำนวนเงินสูงกว่าความเป็นจริง โดย น.ส.ปณิดาถูกบังคับให้ปลอมเอกสารการเบิกจ่ายเงิน จนนำไปสู่การที่สำนักงาน ป.ป.ท. ได้ขยายผลดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง ของหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ทั่วทั้งประเทศ ผลการตรวจสอบพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นจำนวนมาก โดยคณะกรรมการ ป.ป.ท. มีมติรับไต่สวนข้อเท็จจริง จำนวน 65 คำสั่ง แบ่งเป็น ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 62 จังหวัด นิคมสร้างตนเอง 2 แห่ง และศูนย์ประสานงานโครงการหมู่บ้านสหกรณ์ 1 แห่ง ถือเป็นการเปิดโปงการทุจริตระดับประเทศ

    ไลอ้อนแอร์ตก คาด เสียชีวิตทั้งลำ 189 ราย

    กล่องดำหนึ่งในสองใบของเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ เที่ยวบิน JT-610
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://bit.ly/2PD5UsI)

    วันที่ 29 ต.ค. 2561 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินโดยสารแบบต้นทุนต่ำ หรือโลว์คอสต์ ของสายการบินไลอ้อนแอร์ (Lion Air) ในอินโดนีเซีย เที่ยวบิน JT-610 จากกรุงจาการ์ตา-ปังกัล ปีนัง เมืองใหญ่บนเกาะบังกา เบลิตุง ที่มีผู้โดยสาร 181 ราย ผู้ใหญ่ 178 เด็ก 1 ทารก 2และ ลูกเรือ 8 ราย รวมทั้งหมด 189 ชีวิต ได้ประสบเหตุตกในทะเลนอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา หลังขาดการติดต่อกับหอควบคุมการบิน และเครื่องบินได้หายไปจากจอเรดาร์ ภายหลังทะยานขึ้นจากสนามบินในกรุงจาการ์ตา เมื่อเวลา 06.20 น. ของเช้าวันที่ 29 ต.ค. 2561 เพียงประมาณ 13 นาทีเท่านั้น และต่อมาได้ค้นพบซากชิ้นส่วนเครื่องบินและข้าวของของผู้โดยสารลอยอยู่ในทะเลนอกชายฝั่ง

    ต่อมา วันที่ 1 พ.ย. 2561 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่าhttp://bit.ly/2PD5UsI สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทีมนักประดาน้ำของอินโดนีเซียเจอกล่องดำของเครื่องบินโดยสารสายการบินไลอ้อนแอร์เที่ยวบินดังกล่าว โดยกล่องดำที่พบนี้เป็นกล่องดำที่บันทึกข้อมูลด้านการบิน โดยเจ้าหน้าที่หวังว่า กล่องดำนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินโบอิ้ง 737 Max8 ของสายการบินไลอ้อนแอร์ลำนี้ตก

    ขณะที่ทีมนักประดาน้ำอินโดนีเซียยังคงพยายามค้นหากล่องดำกล่องที่ 2 ซึ่งบันทึกการสนทนาในห้องนักบินต่อไป ขณะที่รอยเตอร์แจ้งว่า ก่อนหน้านี้หัวหน้าคณะกรรมการความปลอดภัยด้านคมนาคมแห่งชาติอินโดนีเซีย กล่าวถึงการได้ข้อมูลจากกล่องดำว่า ในการดาวน์โหลดข้อมูลจากกล่องดำ ต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ และจากนั้นจะนำข้อมูลไปวิเคราะห์ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 6 เดือน

    เรียบเรียงจาก: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์