นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร

นับเป็นครั้งที่ 2 ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติโยกย้าย คนคลังข้ามกระทรวงไปนั่ง “ปลัดกระทรวงพลังงาน” คนแรกที่เพิ่งเกษียณอายุไปเมื่อปีที่แล้ว คือ “อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม” อดีตปลัดกระทรวงการคลังที่ถูกโยกไป

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 มติครม.มีคำสั่งให้ “กุลิศ สมบัติศิริ” อธิบดีกรมศุลกากรไปนั่งปลัดกระทรวงพลังงาน

สำหรับ”กุลิศ สมบัติศิริ” แล้ว มีกระแสข่าวมาอย่างต่อเนื่องที่จะหลุดจากเก้าอี้อธิบดีกรมศุลฯ จะด้วยแรงขับเคลื่อนของผู้ที่เสียผลประโยชน์ หรือการทำงานที่ไม่ตอบโจทย์ฝ่ายบริหาร หรือโยกย้ายเพื่อจัดกำลังคนเพื่อวางหมากการขึ้นตำแหน่งปลัดคนใหม่ เหล่านี้ก็เป็นคำถามอยู่

หากย้อนดูประวัติและประสบการณ์ในการทำงาน ทั้ง “อารีพงศ์และกุลิศ” ต่างมีเส้นทางการเติบโตในอาชีพรับราชการคล้ายคลึงกันมาก เรียกได้ว่าเดินตามรอยกันมาติดๆ ทั้งคู่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีและโท สาขาบริหารธุรกิจ และรัฐประศาสนศาสตร์ เริ่มต้นรับราชการที่กรมบัญชีกลาง ก้าวขึ้นผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ช่วงเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ทั้งคู่ถูกดึงตัวมาช่วยราชการนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ก่อนที่นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน จะเกษียณอายุ ในช่วงกลางปี 2560 ผู้บริหารในรัฐบาลมาทาบทามให้นายกุลิศ สมบัติศิริ นั่งในตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงานมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นายกุลิศเห็นว่านายธรรมยศ ศรีช่วย ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพลังงาน เหลืออายุราชการแค่ 1 ปี จึงใช้เหตุผลนี้ตอบปฏิเสธไป ล่าสุด ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว นายกุลิศถูกทาบทามให้ไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงานแทนนายธรรมยศอีกครั้ง ครั้งนี้นายกุลิศไม่มีเหตุผลที่จะตอบปฏิเสธ

สำหรับประวัตินายกุลิศหลังเปลี่ยนรัฐบาล ปี 2548 นายกุลิศลาออกจากราชการไปทำงานที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ในตำแหน่งรองเลขาธิการด้านนโยบายและแผน ต่อมาในปี 2550 นายกุลิศกลับเข้ารับราชการที่กระทรวงการคลังอีกครั้ง ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินตรา โดยไปนั่งนับเหรียญอยู่ที่กรมธนารักษ์ พอตำแหน่งที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่าง นายกุลิศได้รับการแต่งตั้งไปเป็นรองผู้อำนวยการ สคร. และขยับขึ้นเป็นซี 10 ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ ปี 2554 จนกระทั่งมาถึงยุครัฐบาล คสช. ปี 2557 นายกุลิศได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการ สคร. และ ปี 2558 ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมศุลกากร

2 ปีที่กรมศุลกากร แม้รู้ว่าที่นี่มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรด นายกุลิศก็เดินหน้ารับมือกับทุกเรื่อง ผลงานโดดเด่น เช่น ยุติปัญหาข้อพิพาทระหว่างกรมศุลกากรกับบริษัทเชฟรอน, ยึดอายัดรถเมล์ NGV ของบริษัท ซุปเปอร์ซาร่า กรณีสำแดงถิ่นกำเนิดสินค้าไม่ตรงตามข้อเท็จจริง และการผลักดัน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 จนมีผลบังคับใช้ และได้รับมอบหมายให้ไปเป็นประธานบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รัฐวิสาหกิจที่มีภาระหนี้และผลขาดทุนเป็นมากมาย หรือกล่าวได้ว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว จะทำอย่างไรที่จะพลิกฟื้นขึ้นมาได้

  • รัฐทวงภาษีคืนจากเชฟรอนกว่า 2,000 ล้านบาท
  • กรมศุลฯ ส่ง DSI สั่งฟ้อง “ซุปเปอร์ซาร่า” สำแดงเท็จนำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี หลักฐานจีนมัดไม่ได้ผลิตมาเลเซีย
  • กาง พ.ร.บ.ศุลกากร 2560 ส่งออก-นำเข้า-คลังสินค้า-ชิปปิ้ง ปรับตัวอย่างไร เมื่อ กฎหมายใหม่บังคับใช้ 13 พ.ย.นี้
  • จาก “คลองผดุงกรุงเกษม” ถึง “คลองประปา” จากเลขาสภาพัฒน์ถึงปลัดคลัง
  • นายกฯ สั่งรับมือสถานการณ์น้ำเพชรบุรีให้เสียหายน้อยที่สุด – มติ ครม. โยก “กุลิศ สมบัติศิริ” อธิบดีศุลกากร นั่งปลัดพลังงาน
  • อย่างไรก็ตามหากนายกุลิศไม่ย้ายไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน เมื่อนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลังที่จะเกษียณในปี 2562 นายกุลิศก็คือแคนดิเดตที่จะเป็นปลัดกระทรวงการคลังคนต่อไป แต่หากรัฐบาลชุดนี้ยังบริหารอยู่ โอกาสที่จะได้ขึ้นก็ดูจะยากอยู่

    การโยกนายกุลิศออกจากกระทรวงการคลังครั้งนี้ ทำให้โครงสร้างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังขยับกันอีกรอบ หลังจากมีการโยกย้ายแบบฟ้าผ่า กรณีมีคำสั่งให้ปลัดอู้ “สมชัย สัจจพงษ์” ปลัดกระทรวงการคลัง ไปนั่งในตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒน์ แทนนายปรเมธี วิมลศิริ ซึ่งถูกย้ายไปเป็นปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)จนเป็นเหตุให้ปลัดอู้ประกาศลาออกผ่านทางไลน์กลุ่มสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 รอบนั้นก็มีการขยับกันไปพอสมควร

    รอบนี้ก็ขยับกันอีกครั้งใหญ่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ลูกหม้อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ถูกย้ายจากอธิบดีกรมสรรพสามิตนั่งขัดตาทัพในตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร โดยมีนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ไล่กวดตามมาติดๆ และขึ้นไปยื่นอยู่บนระนาบเดียวกับ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ที่ได้รับการแต่งตั้งในรอบที่ปลัดอู้ลาออก และเป็นแคนดิเดตปลัดกระทรวงการคลังคนต่อไป

    สำหรับนายพชร ที่ผ่านมาเคยเป็นทีมงาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากที่ ดร.สมคิดเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. นายพชรมีตำแหน่งเป็นรองอธิบดี กรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ไม่สามารถยืมตัวไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลได้ แต่ก็ได้รับมอบหมายงานให้ทำเป็นเรื่องๆ จนได้รับความไว้วางใจจากดร.สมคิด ผ่านความเห็นชอบให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำเรื่องเสนอ ครม. แต่งตั้งนายพชรขึ้นมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพัฒนาระบบการเงินการคลัง (ซี 10) กรมบัญชีกลาง ในเดือนมีนาคม 2559 โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2558

    ชีวิตรับราชการของนายพชรก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว วันที่ 1 ตุลาคม 2559 นายพชรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง อีก 7 เดือนต่อมา นายพชรได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์แทนนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ซึ่งถูกย้ายมาเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง และล่าสุด นายพชรได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต หากมีการโยกย้ายครั้งต่อไป คาดว่า นายพชรน่าจะได้เป็นอธิบดีกรมศุลกากร โดยมีนายยุทธนา หยิมการุณ ว่าที่รองปลัดกระทรวงการคลัง นั่งต่อคิว

    ส่วนนายอำนวย ปรีมนวงศ์ อดีตลูกหม้อกรมธนารักษ์ ขึ้นเป็นซี 10 ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการ กระทรวงการคลังมาตั้งแต่ปี 2552 และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองปลัดกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา พยายามขอกลับกรมธนารักษ์มา 9 ปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งปัจจุบันนายอำนวยอายุย่างเข้า 59 ปี ก่อนเกษียณ จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นรางวัลปลอบใจ

    คนสุดท้าย นางแพตริเซีย มงคลวนิช ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การจัดเก็บภาษี กรมสรรพากร จบปริญญาโท 2 ใบ สาขากฎหมายภาษี จาก University of London และรัฐประศาสนศาสตร์ จาก University of Wisconsin จึงได้รับมอบหมายให้ดูแลงานเจรจาภาษีซ้อนกับต่างประเทศ และยังเชี่ยวชาญงานนโยบายภาษี ถูกดึงตัวให้มาช่วยงานปลัดกระทรวงการคลัง ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และแคนดิเดตที่จะเป็นอธิบดีกรมสรรพากรคนต่อไป

    การโยกย้ายครั้งนี้จึงเป็นที่ถกกันว่า เกมครั้งนี้เป็นการวางหมากสำหรับคนที่จะมานั่งเก้าอี้ปลัดคนต่อไป